สแตนเลส 304 เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ได้รับความนิยม

สแตนเลส 304 เป็นหนึ่งในเกรดสแตนเลสออสเทนิติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านความต้านทานการกัดกร่อน ความทนทาน ความสามารถในการขึ้นรูป และความสวยงาม ทำให้สแตนเลส 304 กลายเป็นวัสดุสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เครื่องครัวและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงงานสถาปัตยกรรมและยานยนต์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงคุณสมบัติ การใช้งาน ข้อดีข้อเสีย และเกรดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของสแตนเลส 304 เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความสำคัญและศักยภาพของวัสดุชนิดนี้อย่างครอบคลุม

 

สแตนเลส 304

องค์ประกอบทางเคมีและคุณสมบัติทางกายภาพ สแตนเลส 304

มีองค์ประกอบทางเคมีหลักดังนี้

  • เหล็ก (Fe): ประมาณ 70-75%
  • โครเมียม (Cr): 18-20% ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สร้างชั้นฟิล์มโครเมียมออกไซด์ (Cr₂O₃) ที่มองไม่เห็นบนพื้นผิว ช่วยป้องกันการกัดกร่อน
  • นิกเกิล (Ni): 8-10.5% ซึ่งช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสารเคมีบางชนิด และปรับปรุงความสามารถในการขึ้นรูป
  • คาร์บอน (C): ไม่เกิน 0.08% ซึ่งช่วยรักษาความแข็งแรงและป้องกันการเกิดสนิมตามขอบเกรน (intergranular corrosion) ภายหลังการเชื่อม
  • นอกจากองค์ประกอบทางเคมีแล้ว   ยังมีคุณสมบัติทางกายภาพที่โดดเด่น เช่น:

ความหนาแน่น: ประมาณ 7.93 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
จุดหลอมเหลว: ประมาณ 1400-1450 องศาเซลเซียส
ความแข็งแรงดึง: ประมาณ 515 เมกะปาสคาล (MPa)
ความแข็งแรงคราก: ประมาณ 205 เมกะปาสคาล (MPa)
การยืดตัว: มากกว่า 40% ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการขึ้นรูปที่ดี
ความเป็นแม่เหล็ก: โดยทั่วไปจะไม่มีความเป็นแม่เหล็กในสภาพอบอ่อน (annealed condition) แต่สามารถแสดงความเป็นแม่เหล็กเล็กน้อยได้เมื่อผ่านกระบวนการขึ้นรูปเย็น (cold working)

คุณสมบัติที่โดดเด่น 

คุณสมบัติที่ทำให้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ได้แก่

  • ความต้านทานการกัดกร่อนที่ดีเยี่ยม: ชั้นฟิล์มโครเมียมออกไซด์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบนพื้นผิวช่วยป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อมทั่วไป ความชื้น และสารเคมีอ่อนๆ
  • ความทนทานและความแข็งแรงสูง:  มีความแข็งแรงและความเหนียวที่ดี ทำให้สามารถทนทานต่อแรงกระแทกและการใช้งานหนักได้
  • ความสามารถในการขึ้นรูปและการเชื่อมที่ดี: สามารถนำไปขึ้นรูปด้วยกระบวนการต่างๆ เช่น การดัด การพับ การปั๊ม และการเชื่อมได้อย่างดีเยี่ยม
  • ความสวยงามและง่ายต่อการบำรุงรักษา: พื้นผิวที่เงางามและเรียบเนียนทำให้ ดูทันสมัยและทำความสะอาดง่าย
    สุขอนามัยและความปลอดภัย: เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยากับอาหารและง่ายต่อการทำความสะอาด   จึงเป็นวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอาหารและยา
  • ความสามารถในการรีไซเคิล:   สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% ทำให้เป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

การใช้งานที่หลากหลายของสแตนเลส 304

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น   ถูกนำไปใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่nเครื่องครัวและเครื่องใช้ในบ้าน หม้อ กระทะ อ่างล้างจาน ก๊อกน้ำ มีด ช้อน ส้อม เครื่องซักผ้า ตู้เย็นอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุปกรณ์แปรรูปอาหาร ถังเก็บ ท่อลำเลียง เครื่องจักรผลิตเบียร์และไวน์
อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือผ่าตัด ถาดใส่เครื่องมือ เตียงผู้ป่วย อุปกรณ์ทันตกรรม งานสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ราวบันได ประตู หน้าต่าง ผนังภายนอก หลังคา งานตกแต่งภายใน อุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี ถังเก็บสารเคมี ท่อลำเลียง อุปกรณ์ในโรงงาน อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง ชิ้นส่วนรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า กล่องหุ้ม
อื่นๆ เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะ

ข้อดีและข้อเสีย 

ข้อดี

  1. ความต้านทานการกัดกร่อนที่ดีเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
  2. ความแข็งแรงและความทนทานสูง
  3. ความสามารถในการขึ้นรูปและการเชื่อมที่ดี
  4. พื้นผิวที่สวยงามและทำความสะอาดง่าย
  5. ถูกสุขอนามัยและปลอดภัยสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอาหารและยา
  6. สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างสูงกว่าเหล็กกล้าคาร์บอน
  2. อาจเกิดการกัดกร่อนแบบรูพรุน (pitting corrosion) หรือการกัดกร่อนตามซอก (crevice corrosion) ในสภาพแวดล้อมที่มีคลอไรด์สูง
  3. ไม่เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงมากอย่างต่อเนื่อง
  4. พื้นผิวอาจเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย

เกรดสแตนเลสอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับ 304

  • นอกจาก  แล้ว ยังมีเกรดสแตนเลสอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันและอาจถูกนำมาใช้ทดแทนในบางกรณี ได้แก่: สแตนเลส 304L เป็นเกรดที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำกว่า 304 ทำให้มีความต้านทานการกัดกร่อนตามขอบเกรนภายหลังการเชื่อมได้ดีกว่า เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความต้านทานการกัดกร่อนสูง
  • สแตนเลส 316: มีส่วนผสมของโมลิบดีนัม (Mo) เพิ่มเติม ทำให้มีความต้านทานการกัดกร่อนได้ดีกว่า 304 โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสารคลอไรด์และการกัดกร่อนแบบรูพรุน เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่กัดกร่อนรุนแรง เช่น ใกล้ทะเล หรือในอุตสาหกรรมเคมี
  • สแตนเลส 316L: เป็นเกรดที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำของ 316 ทำให้มีความต้านทานการกัดกร่อนตามขอบเกรนได้ดีกว่า 316 เหมาะสำหรับงานเชื่อมในสภาพแวดล้อมที่กัดกร่อนรุนแรง
  • สแตนเลส 201: เป็นเกรดที่มีปริมาณนิกเกิลต่ำกว่า 304 โดยมีการเพิ่มแมงกานีส (Mn) และไนโตรเจน (N) เพื่อทดแทนบางส่วนของนิกเกิล ทำให้มีราคาถูกกว่า แต่มีความต้านทานการกัดกร่อนน้อยกว่า 304
  • สแตนเลส 430: เป็นสแตนเลสเฟอร์ริติก มีปริมาณโครเมียมสูง แต่มีปริมาณนิกเกิลต่ำ ทำให้มีความต้านทานการกัดกร่อนน้อยกว่า 304 แต่มีความแข็งแรงสูงกว่าและมีคุณสมบัติทางแม่เหล็ก

 กระบวนการผลิต 

กระบวนการผลิต  โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้ การหลอม: วัตถุดิบ เช่น เศษเหล็ก โครเมียม นิกเกิล และอื่นๆ จะถูกนำมาหลอมรวมกันในเตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace – EAF) การปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก: น้ำเหล็กที่หลอมได้จะถูกนำไปปรับปรุงคุณภาพในเตาอาร์กอนออกซิเจนดีคาร์บอไนเซชัน (Argon Oxygen Decarburization – AOD) เพื่อควบคุมปริมาณคาร์บอนและองค์ประกอบทางเคมีอื่นๆ ให้ได้ตามมาตรฐาน การหล่อ น้ำเหล็กที่ปรับปรุงคุณภาพแล้วจะถูกนำไปหล่อเป็นแท่ง (ingot) หรือแผ่น (slab) ผ่านกระบวนการหล่อแบบต่อเนื่อง (Continuous Casting – CC)
การรีดร้อน แท่งหรือแผ่นเหล็กจะถูกนำไปรีดร้อน (Hot Rolling – HR) เพื่อลดขนาดความหนาและขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป เช่น แผ่น เหล็กเส้น หรือท่อ
การอบอ่อน: ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจะถูกนำไปอบอ่อน (Annealing) เพื่อปรับปรุงโครงสร้างจุลภาค ลดความเค้นภายใน และเพิ่มความสามารถในการขึ้นรูป
การรีดเย็น (อาจมี): ในกรณีที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดแม่นยำและพื้นผิวเรียบ จะมีการนำไปรีดเย็น (Cold Rolling – CR) เพิ่มเติม
การตกแต่งผิว: ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะถูกนำไปตกแต่งผิว (Finishing) เช่น การขัดเงา การพ่นทราย หรือการกัดกรด เพื่อให้ได้พื้นผิวตามที่ต้องการ
การตัดและบรรจุภัณฑ์: ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะถูกตัดตามขนาดที่ต้องการและบรรจุภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่าย สแตนเลส 304

มาตรฐานและข้อกำหนด

มีมาตรฐานและข้อกำหนดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น

ASTM A240/A240M: Standard Specification for Chromium and Chromium-Nickel Stainless Steel Plate, Sheet, and Strip for Pressure Vessels and for General Applications
EN 10088: Stainless steels – Part 1: List of stainless steels
JIS G4303: Stainless steel bars
มาตรฐานเหล่านี้กำหนดองค์ประกอบทางเคมี คุณสมบัติทางกล และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความสม่ำเสมอของวัสดุ https://bbdcasino1.com

เป็นวัสดุที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยคุณสมบัติที่สมดุลระหว่างความต้านทานการกัดกร่อน ความแข็งแรง ความสามารถในการขึ้นรูป และความสวยงาม ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานที่ต้องการความทนทานและสุขอนามัย อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ ควรพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการใช้งานและข้อจำกัดของวัสดุ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงสุด การทำความเข้าใจคุณสมบัติ การใช้งาน ข้อดีข้อเสีย และเกรดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของ  จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *